การคำนวณการลดโทษในคดีอาญาเป็นปัญหาเดี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือไม่

การคำนวณการลดโทษในคดีอาญาเป็นปัญหาเดี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือไม่

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 91, 288, 289, 362, 364, 365, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืน ปลอกกระสุนปืน ลูกกระสุนปืนเสียสภาพและกระเป๋าสีดำสำหรับใส่กระสุนปืนของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร ข้อหาบุกรุกเคหสถานโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ และรับว่าฆ่าผู้ตายที่ 1 แต่กระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288 ประกอบมาตรา 80, 365 (1) (2) ประกอบมาตรา 362, 364 (ที่ถูก ประกอบมาตรา 362 และมาตรา 364), 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้ตายที่ 1 ฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 และฐานบุกรุกเคหสถานโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานฆ่าผู้ตายที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต ฐานฆ่าผู้ตายที่ 2 จำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้ตายที่ 1 คำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 3 เดือน ฐานฆ่าผู้ตายที่ 1 ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ให้หนึ่งในสาม จำคุก 50 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุกตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ริบอาวุธปืน ปลอกกระสุนปืน ลูกกระสุนปืนเสียสภาพและกระเป๋าสีดำสำหรับใส่กระสุนปืนของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า จำเลยเคยอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาววันนา ผู้ตายที่ 1 เมื่อผู้ตายที่ 1 เลิกรากับจำเลย ผู้ตายที่ 1 ไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนายประชาธิป ผู้เสียหายที่ 2 นายอนุวัช ผู้ตายที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยกับนางจรวย ตามวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง ผู้ตายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 ไปรับประทานอาหารที่บ้านของนายวีระศักดิ์ ผู้เสียหายที่ 1 จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 มีอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .38 Special ไม่มีเครื่องหมายทะเบียน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .38 Special จำนวน 19 นัด เหน็บอยู่ที่เอวด้านซ้าย และผู้ตายที่ 1 กับผู้ตายที่ 2 ถูกยิงโดยอาวุธปืนที่จำเลยนำติดตัวไปถึงแก่ความตาย ส่วนผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลนิ้วกลางมือขวาฉีกขาด เอ็นนิ้วนางขาด กระดูกนิ้วแตก และมีแผลฉีกขาดที่ท่อนแขนซ้ายร่วมกับเอ็นขาด ภายหลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีไปและถูกจับกุมที่บ้านหลังหนึ่งในคืนเกิดเหตุ พร้อมด้วยอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของกลาง ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับว่า บุกรุกเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุโดยมีอาวุธปืนติดตัวไป และใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้ตายที่ 1 จริง แต่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ จำเลยไม่ได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายที่ 2 และจำไม่ได้ว่า คืนเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายที่ 2 ต่อสู้กันหรือไม่ สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร รวมทั้งความผิดฐานบุกรุกเคหสถานโดยใช้กำลังประทุษร้ายและโดยมีอาวุธ ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ความผิดฐานดังกล่าวจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 1 โดยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ เห็นว่า ขณะที่จำเลยเดินผ่านประตูเข้ามาในบ้านที่เกิดเหตุ ได้ความจากผู้เสียหายที่ 1 ว่า จำเลยใช้มือตะปบอาวุธปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวด้านซ้าย ผู้ตายที่ 1 นั่งอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 ย่อมต้องเห็นเช่นเดียวกัน จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้ตายที่ 1 จะกล้าพูดจาดูหมิ่นและด่าว่าจำเลยอย่างรุนแรงด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่าจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวมาด้วย ประกอบกับจำเลยเบิกความเจือสมกับผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ด้วยว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอาการมึนเมาสุรามาก ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะสามารถจดจำคำพูดของผู้ตายที่ 1 ได้โดยละเอียดเช่นนั้น ข้ออ้างของจำเลยที่ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 1 เพราะเกิดบันดาลโทสะภายหลังทะเลาะกับผู้ตายที่ 1 จึงมีน้ำหนักน้อยไม่อาจรับฟังได้ ส่วนที่ปรากฏคราบเขม่าดินปืนที่มือของผู้ตายที่ 1 นั้น รายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวระบุเพียงว่า ตรวจพบธาตุแอนติโมนีและแบเรียมในปริมาณที่เชื่อได้ว่าผู้ตายที่ 1 เกี่ยวข้องกับการยิงปืน และนายแพทย์เอกพงษ์ ผู้ตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตายที่ 1 พยานโจทก์ เบิกความว่า ผู้ตายที่ 1 มีบาดแผลถูกกระสุนปืนนัดหนึ่งที่บริเวณมุมปากด้านซ้าย บาดแผลดังกล่าวพยานสันนิษฐานว่าเป็นการยิงระยะประชิดติดผิวหนัง กรณีจึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่า คราบเขม่าดินปืนที่มือของผู้ตายที่ 1 เกิดจากการที่จำเลยใช้อาวุธปืนจ่อยิงผู้ตายที่ 1 ในระยะประชิดในขณะที่ผู้ตายที่ 1 พยายามจะเข้าแย่งอาวุธปืนจากจำเลย มิใช่เกิดจากการที่ผู้ตายที่ 1 เข้าแย่งอาวุธปืนจากจำเลยแล้วกระสุนปืนลั่นไปถูกผู้ตายที่ 1 ดังคำเบิกความของจำเลย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายที่ 1 ฎีกาของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ตายที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นลงโทษฐานฆ่าผู้ตายที่ 1 จำคุกตลอดชีวิต ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 50 ปี และศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน นั้น ไม่ถูกต้อง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่การคำนวณลดโทษไม่ถูกต้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานฆ่าผู้ตายที่ 1 จำคุกตลอดชีวิต ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 แล้ว คงจำคุกตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

สำนักงานกฎหมายปรัชญาเศรษฐ์ทนายความ Copyright © 2021. All rights reserved.