ขายบ้านสินสมรสโดยพลการ ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้หรือไม่

ขายบ้านสินสมรสโดยพลการ ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้หรือไม่

โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ จำเลย จด ทะเบียน สมรส เกิด บุตร ด้วยกัน 5คน จำเลย เป็น คน ขี้หึง และ ปากร้าย ได้ ทะเลาะ ด่าว่า ล่วงเกิน โจทก์และ บิดา โจทก์ เนืองๆ เพื่อ ให้ โจทก์ ได้ รับ ความ อับอาย โดย มิได้ให้ เกียรติ โจทก์ และ บิดา มารดา โจทก์ ออก ปาก ขับไล่ โจทก์ ตลอดมาจน ถึง พ.ศ. 2511 โจทก์ แยก ไป อยู่ ที่อื่น โดย ยอม ยก ทรัพย์สินและ บ้านเรือน ให้ จำเลย ทั้งหมด แล้ว มิได้ ติดต่อ อยู่กิน กัน จนบัดนี้ ภายหลัง จำเลย ได้ ขาย บ้าน ที่ ร่วมกัน ปลูก ใน ที่ดิน ที่ เช่านั้น ไป และ อพยพ ไป อยู่ ที่อื่น พฤติการณ์ ดังกล่าว ถือ ได้ ว่า จำเลยทำการ เป็น ปฏิปักษ์ ต่อ การ เป็น สามี ภรรยา ต่อ โจทก์ อย่าง ร้ายแรงขอ ให้ ศาล พิพากษา ให้ หย่าขาด จาก กัน

จำเลย ให้การ ว่า จำเลย มิได้ ประพฤติ ชั่ว ไม่ เคย หมิ่นประมาท หรือเหยียดหยาม บุพการี ของ โจทก์ อย่าง ร้ายแรง โจทก์ มี ภรรยา ใหม่ และจงใจ ละทิ้ง ร้าง จำเลย โจทก์ เคย ฟ้อง หย่า จำเลย ศาล พิพากษา ยกฟ้องโจทก์ จึง ไม่ ให้ ความ ช่วยเหลือ อุปการะ เลี้ยงดู จำเลย และ บุตรทำ ให้ จำเลย ลำบาก ใน การ ดำรงชีพ ประกอบ เจ้าของ ที่ดิน ต้องการที่ดิน คืน จำเลย จึง ต้อง ขาย บ้าน เพื่อ นำ เงิน มา เลี้ยงดู บุตร

ศาลชั้นต้น เห็นว่า ฟ้อง โจทก์ เป็น ฟ้อง ซ้ำ พิพากษา ยกฟ้อง

โจทก์ อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ฟ้อง โจทก์ ไม่ เป็น ฟ้องซ้ำ การ ที่ จำเลย ขายบ้าน ไม่ เป็น ปฏิปักษ์ ต่อ การ เป็น สามี ภรรยา กัน ฟ้อง โจทก์ ไม่ได้ บรรยาย ว่า จำเลย ได้ รังควาน โจทก์ จึง ไม่ มี ประเด็น ที่ จะนำสืบ พิพากษา ยืน

โจทก์ ฎีกา

ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ตาม ฎีกา ของ โจทก์ ที่ โจทก์ ฎีกา ว่า การขาย บ้าน หลัง โรงพยาบาล โพธาราม ที่ จำเลย อยู่ อาศัย ไป โดย พลการถือว่า จำเลย กระทำ ตน เป็น ปฏิปักษ์ ต่อ การ เป็น สามี ภรรยา กันอย่าง ร้ายแรง โจทก์ จึง มี สิทธิ ที่ หย่า กับ จำเลย ได้ นั้น ในปัญหา นี้ ได้ ความ ตาม คำฟ้อง ของ โจทก์ ว่า’ โจทก์ ทน อยู่ กับ จำเลยจน ถึง พ.ศ. 2511 โจทก์ จึง แยก ไป อยู่ ที่ อื่น โดย ยอม ยกทรัพย์ทรัพย์สิน และ บ้าน ให้จำเลย ทั้งหมด’ ประกอบ กับ ตาม ข้อ นำสืบ ของโจทก์ และ จำเลย ฟัง ได้ ว่า หลังจาก โจทก์ แยก ไป อยู่ กับ มารดาของ โจทก์ แล้ว คง ปล่อย ให้ จำเลย อยู่ บ้าน หลัง โรงพยาบาล โพธารามพร้อมกับ บุตร ตาม ลำพัง ทั้ง ปรากฏ ว่า โจทก์ มิได้ เคย ส่งเสียอุปการะ เลี้ยงดู จำเลย และ บุตร เยี่ยง สามี ภรรยา และ บิดา มารดากับ บุตร นอกจาก นี้ ยัง ปรากฏ อีก ว่า ที่ดิน ที่ ปลูก บ้าน เป็นที่ดิน ของ คนอื่น ซึ่ง ต้องการ ที่ดิน คืน โจทก์ มิได้ ไป มา หา สู่จำเลย จำเลย ได้ ขาย บ้านหลัง นี้ ไป โดย พลการ มิได้ ปรึกษา หารือโจทก์ โดย จำเลย มี เหตุ จำเป็น ดังกล่าว ข้างต้น และ เป็น ทรัพย์สินที่ โจทก์ ยก ให้ แก่ จำเลย แล้ว จึง ถือ ไม่ ได้ ว่า การ กระทำ ของจำเลย เป็น การ กระทำ ตน ที่ เป็น ปฏิปักต์ ต่อ การ ที่ เป็น สามีหรือ ภรรยา กัน อย่าง ร้ายแรง โจทก์ จะ ยก เอา เป็น ข้ออ้าง เป็น เหตุใน การ ฟ้อง หย่า จำเลย หา ได้ ไม่

ที่ โจทก์ ฎีกา ว่า โจทก์ นำสืบ ว่า หลักจาก โจทก์ แยก กัน ไป อยู่ที่ อื่น แล้ว จำเลย ตาม ไป รังควาน โจทก์ อีก ไม่ เป็น การ สืบ นอกฟ้องนั้น ศาลฎีกา ตรวจฟ้อง ของ โจทก์ แล้ว เห็นว่า โจทก์ บรรยาย ฟ้องเพียง ว่า โจทก์ ทน อยู่ กับ จำเลย ต่อ มา จน ถึง ปี พ.ศ. 2511 โจทก์จึง แยก ไป อยู่ ที่อื่น โดย ยอม ยก ทรัพย์สิน และ บ้านเรือน ทั้งหมดให้ จำเลย แล้ว มิได้ ติดต่อ อยู่กิน กัน อีก เลย และ จาก นั้น โจทก์ก็ บรรยาย ฟ้อง ถึง จำเลย นำ บ้าน ไป ขาย โดย พลการ โจทก์ มิได้ บรรยายฟ้อง เลย ว่า หลังจาก แยกกัน อยู่ แล้ว จำเลย ตาม ไป รังควาน โจทก์แต่ ประการ ใด ฉะนั้น การ ที่ โจทก์ นำสืบ ว่า จำเลย ตาม ไป ทำลายประตู บ้าน โจทก์ และ เอา อุจจาระ ไป ป้าย ที่นอน ของ โจทก์ จึง เป็นการ สืบ นอก ฟ้อง ศาลฎีกา จึง ไม่ อาจ นำ มา วินิจฉัย ว่า เป็น เหตุหย่า ให้ โจทก์ ได้

โจทก์ ฎีกา อีก ข้อ หนึ่ง ว่า นาย ทวีศักดิ์ จิตรธรรมพงศ์ พยาน จำเลยเอง เบิกความ ว่า ‘จำเลย เป็น คน ขี้หึง พอ ได้ ข่าว มา ก็ โวยวายบางครั้ง บางคราว จะ จริง หรือ ไม่ จริง ก็ ทะเลาะ กัน’ จึง เป็น เหตุหย่า ได้ นั้น ศาลฎีกา เห็น ว่า โจทก์ ยอมรับ ว่า โจทก์ ได้ พา หญิงอื่น มา อยู่ร่วม ฉัน สามี ภรรยา กับ โจทก์ ดังนั้น ข้อเท็จจริง จึงน่าเชื่อ ตาม ที่ จำเลย นำสืบ ว่า โจทก์ เป็น คน ชอบ ดื่ม สุรา และ เป็นคน เจ้าชู้ ชอบ ติดพัน หญิง อื่น ฐาน ชู้สาว การ ที่ จำเลย ได้ ไปรู้ เรื่องราว จาก ภายนอก แล้ว จำเลย ได้ นำ มา ต่อว่า โจทก์ เป็นครั้งคราว จริง บ้าง ไม่ จริง บ้าง แล้ว ทะเลาะ กัน เช่นนี้ เห็น ว่าโจทก์ มี ส่วน เป็น ผู้ ก่อเหตุ อยู่ บ้าง การ ที่ จำเลย ต่อว่า ต่อขานถึง เรื่อง นี้ จึง เป็น เรื่อง ของ ธรรมดา ที่ ภรรยา มี ความ รัก ต่อสามี โจทก์ อยู่ ใน ฐานะ ที่ จะ ป้องกัน เหตุ เหล่านี้ มิให้ เกิด ขึ้นโดย การ ละเว้น ความ ประพฤติ ดังกล่าว ข้างต้น ก็ ไม่ มี เหตุ ที่จำเลย จะ หึงหวง โจทก์ จน ต้อง ทะเลาะ กัน ดังนั้น การ กระทำ ของ จำเลยยัง ไม่ ถึง ขั้น จำเลย เป็น ผู้ ประพฤติ ชั่ว อัน ทำ ให้ โจทก์ ได้รับ ความ อับอาย ขายหน้า อย่าง ร้ายแรง หรือ ได้ รับ ความ ดูถูกเกลียดชัง หรือ ได้ รับ ความเสียหาย เดือดร้อน จน เป็น เหตุ ให้ โจทก์ฟ้อง หย่า จำเลย ได้

พิพากษา ยืน

สรุป

โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันโจทก์แยกไปอยู่กับมารดาของโจทก์โดยยกทรัพย์สินและบ้านให้จำเลยทั้งหมดปล่อยให้จำเลยอยู่ที่บ้านดังกล่าวกับบุตรตามลำพังโจทก์มิได้เคยส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูเยี่ยงสามีภรรยาและบิดามารดากับบุตรที่ดินที่ปลูกบ้านเป็นของบุคคลอื่นซึ่งต้องการที่ดินคืนโจทก์มิได้ไปมาหาสู่จำเลยการที่จำเลยขายบ้านหลังนี้ไปโดยพลการมิได้ปรึกษาหารือโจทก์โดยจำเลยมีเหตุจำเป็นดังกล่าวและเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยแล้วจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภรรยากันอย่างร้ายแรงโจทก์จะยกเอาเป็นข้ออ้างเป็นเหตุในการฟ้องหย่าจำเลยหาได้ไม่. โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าโจทก์ทนอยู่กับจำเลยต่อมาจนถึงปีพ.ศ.2511โจทก์จึงแยกไปอยู่ที่อื่นโดยยอมยกทรัพย์สินและบ้านเรือนทั้งหมดให้จำเลยแล้วมิได้ติดต่ออยู่กินกันอีกเลยและจากนั้นโจทก์บรรยายฟ้องถึงจำเลยนำบ้านไปขายโดยพลการโจทก์มิได้บรรยายฟ้องเลยว่าหลังจากแยกกันอยู่แล้วจำเลยตามไปรังควานโจทก์ฉะนั้นการที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยไปทำลายประตูบ้านโจทก์และเอาอุจจาระไปป้ายที่นอนของโจทก์จึงเป็นการสืบนอกฟ้องศาลฎีกานำมาวินิจฉัยเป็นเหตุหย่าให้โจทก์ไม่ได้. โจทก์เป็นคนชอบดื่มสุราและเจ้าชู้การที่จำเลยรู้เรื่องราวจากภายนอกแล้วนำมาต่อว่าโจทก์เป็นครั้งคราวจริงบ้างไม่จริงบ้างแล้วทะเลาะกันเช่นนี้โจทก์มีส่วนเป็นผู้ก่อเหตุอยู่บ้างการที่จำเลยต่อว่าถึงเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ภรรยามีความรักสามีโจทก์อยู่ในฐานะที่จะป้องกันเหตุเหล่านี้มิให้เกิดขึ้นได้โดยการละเว้นความประพฤติดังกล่าวก็ไม่มีเหตุที่จำเลยจะหึงหวงโจทก์ต้องทะเลาะกันดังนั้นการกระทำของจำเลยยังไม่ถึงขั้นเป็นผู้ประพฤติชั่วอันทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงหรือได้รับความดูถูกเกลียดชังหรือได้รับความเดือดร้อนจนเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าจำเลยได้.

สำนักงานกฎหมายปรัชญาเศรษฐ์ทนายความ Copyright © 2021. All rights reserved.