จุดที่ศาลวินิจฉัยความผิดสำเร็จในคดีความผิดร่วมกันใช้ธนบัตรปลอมและคดีฉ้อโกง

จุดที่ศาลวินิจฉัยความผิดสำเร็จในคดีความผิดร่วมกันใช้ธนบัตรปลอมและคดีฉ้อโกง

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 240, 244, 247, 248, 341 ให้จำเลยคืนหรือชดใช้ราคาธนบัตรรัฐบาลต่างประเทศที่ใช้ในสหภาพยุโรป สกุลยูโร ชนิดราคา 500 ยูโร จำนวน 200 ฉบับ รวม 100,000 ยูโร หรือ 3,950,000 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ โดยชำระแก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 250,000 บาท ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเงิน 3,000,000 บาท ผู้เสียหายที่ 3 เป็นเงิน 550,000 บาท และผู้เสียหายที่ 4 เป็นเงิน 150,000 บาท นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 1156/2562 ของศาลชั้นต้น ริบธนบัตรปลอมของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 247 ประกอบมาตรา 244, (ที่ถูก มาตรา 244 ประกอบมาตรา 247) 341, 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรซึ่งรัฐบาลต่างประเทศออกใช้ หรือให้อำนาจให้ออกใช้ อันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอม จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันฉ้อโกง จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 8 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน และให้จำเลยคืนเงินหรือชดใช้ราคาธนบัตรรัฐบาลต่างประเทศที่ใช้ในสหภาพยุโรป สกุลยูโร ชนิดราคา 500 ยูโร จำนวน 200 ฉบับ หรือ 3,950,000 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ โดยแบ่งเป็นผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 250,000 บาท ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 3,000,000 บาท ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 550,000 บาท และผู้เสียหายที่ 4 จำนวน 150,000 บาท ริบธนบัตรปลอมของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก ส่วนคำขอให้นับโทษต่อนั้น ไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อให้ได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยกับพวก คือ นายซามูและนายสเตฟานหรือสตีเฟ่นร่วมกันมีธนบัตรซึ่งสหภาพยุโรปออกใช้เป็นธนบัตรปลอม ชนิดราคา 500 ยูโร หมายเลข 28064014122 จำนวน 208 ฉบับ จำเลยและนายซามูร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ให้นำเงินสกุลบาทไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินซึ่งสหภาพยุโรปออกใช้จำนวน 100,000 ยูโร แล้วนำไปแลกเปลี่ยนกับเงินซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาออกใช้กับนายซามูที่ประเทศมาเลเซียซึ่งจะได้รับประโยชน์เป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินที่มากกว่าอัตราทั่วไป 2 ถึง 3 เท่า อันเป็นความเท็จ โดยเป็นกลอุบายหลอกลวงเพื่อสับเปลี่ยนธนบัตรซึ่งสหภาพยุโรปออกใช้ของผู้เสียหายทั้งสี่ซึ่งเป็นธนบัตรจริงให้เป็นธนบัตรซึ่งสหภาพยุโรปออกใช้ปลอมของจำเลยกับพวก ผู้เสียหายทั้งสี่หลงเชื่อจึงร่วมกันนำเงิน 3,950,000 บาท ไปแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรซึ่งสหภาพยุโรปออกใช้ ชนิดราคา 500 ยูโร 200 ฉบับ จากนั้นผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และนายสิทธิพล บุตรผู้เสียหายที่ 3 กับจำเลยเดินทางไปประเทศมาเลเซียและเข้าพักที่โรงแรมเพื่อไปแลกเปลี่ยนเงินตามที่จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวง จำเลย นายซามู และนายสเตฟานร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 กับพวก โดยนายซามูและนายสเตฟานใช้ธนบัตรซึ่งสหภาพยุโรปออกใช้ซึ่งเป็นธนบัตรปลอมของจำเลยกับพวกสับเปลี่ยนเอาธนบัตรซึ่งสหภาพยุโรปออกใช้ซึ่งเป็นธนบัตรจริงของผู้เสียหายทั้งสี่ไป สำหรับความผิดฐานร่วมกันทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตราหรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลต่างประเทศออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ โจทก์ไม่ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ส่วนความผิดฐานร่วมกันมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรรัฐบาลต่างประเทศปลอมและฐานร่วมกันฉ้อโกง ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกินห้าปี ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน จึงต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อประการที่ 3 ตามที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำความผิดคดีนี้รูปคดีเป็นเพียงเจตนาฉ้อโกง ไม่ใช่การกระทำโดยมีเจตนานำธนบัตรยูโรปลอมออกมาใช้ให้เหมือนเป็นธนบัตรจริง แต่เป็นการกระทำอันเป็นส่วนหนึ่งของเจตนาที่จะฉ้อโกงทรัพย์เท่านั้น จึงไม่ควรลงโทษจำเลยฐานร่วมกันมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรซึ่งรัฐบาลต่างประเทศออกใช้ เห็นว่า เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และนายสิทธิพลเดินทางเข้าพักที่โรงแรมในประเทศมาเลเซียแล้ว นายซามูและนายสเตฟานขอตรวจนับธนบัตรซึ่งสหภาพยุโรปออกใช้ของผู้เสียหายทั้งสี่และนำไปใส่ในเครื่องมือที่เตรียมมาซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนเอาธนบัตรซึ่งสหภาพยุโรปออกใช้ฉบับจริงของ ผู้เสียหายทั้งสี่ไว้ในเครื่องมือและเอาธนบัตรซึ่งสหภาพยุโรปออกใช้ฉบับปลอมของจำเลยกับพวกออกมาจากเครื่องมือดังกล่าวมัดด้วยยางเป็นปึกแล้วโรยด้วยแป้งและนำใส่ถุงกระดาษเก็บไว้ในตู้นิรภัยภายในห้องพัก พร้อมทั้งตั้งรหัสตู้นิรภัย 4 หมายเลข โดยผู้เสียหายที่ 2 ตั้งรหัส 2 หมายเลข นายซามูตั้งรหัส 2 หมายเลข ผู้เสียหายที่ 2 แอบจดจำรหัสที่นายซามูตั้งไว้ นายซามูและนายสเตฟานแจ้งว่าจะโอนเงินที่แลกเปลี่ยนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้เสียหายทั้งสี่ภายใน 4 ชั่วโมง และเมื่อโอนเงินแล้วจะมาเอาธนบัตรดังกล่าวจากตู้นิรภัย จากนั้นนายซามูและนายสเตฟานได้กลับไป แต่ปรากฏว่าไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้เสียหายทั้งสี่ ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกจึงสอบถามจำเลย จำเลยแจ้งว่าไม่สามารถติดต่อนายซามูและนายสเตฟานได้ ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกจึงเปิดตู้นิรภัยและนำถุงกระดาษบรรจุธนบัตรออกมา การสับเปลี่ยนกับธนบัตรซึ่งสหภาพยุโรปออกใช้ฉบับจริงของผู้เสียหายทั้งสี่และได้ไปซึ่งธนบัตรฉบับจริงของผู้เสียหายทั้งสี่ตามที่จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง แต่การที่จำเลยกับพวกร่วมกันมีธนบัตรปลอมดังกล่าวไว้แล้วนำออกใช้สับเปลี่ยนกับธนบัตรฉบับจริงของผู้เสียหายทั้งสี่เป็นการมีไว้เพื่อนำออกใช้ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 ประกอบมาตรา 247 เป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่มีการรับธนบัตรนั้นไว้เพื่อนำออกใช้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นธนบัตรปลอม ไม่ใช่เมื่อมีการนำออกใช้ การกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว จำเลยกับพวกย่อมมีเจตนาประสงค์ต่อผลแตกต่างกันและสามารถแยกการกระทำแต่ละความผิดได้ การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรของรัฐบาลต่างประเทศปลอม ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมกับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน

สรุป

การสับเปลี่ยนธนบัตรฉบับจริงของผู้เสียหายทั้งสี่และได้ไปซึ่งธนบัตรฉบับจริงของผู้เสียหายทั้งสี่ตามที่จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่เป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง แต่การที่จำเลยกับพวกร่วมกันมีธนบัตรปลอมไว้แล้วนำออกใช้สับเปลี่ยนกับธนบัตรฉบับจริงของผู้เสียหายทั้งสี่เป็นการมีไว้เพื่อนำออกใช้ตามความใน ป.อ. มาตรา 244 ประกอบมาตรา 247 เป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่มีการรับธนบัตรนั้นไว้เพื่อนำออกใช้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นธนบัตรปลอม ไม่ใช่เมื่อมีการนำออกใช้ การกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว จำเลยกับพวกย่อมมีเจตนาประสงค์ต่อผลแตกต่างกันและสามารถแยกการกระทำแต่ละความผิดได้ การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรของรัฐบาลต่างประเทศปลอม ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมกับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง

สำนักงานกฎหมายปรัชญาเศรษฐ์ทนายความ Copyright © 2021. All rights reserved.