ทรัพย์ที่มีอยู่ก่อนสมรส ศาลฎีกาวางหลักไว้อย่างไร

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้จากจำเลยศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 33,785 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 29,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านไม้ชั้นเดียวเลขที่ 110 ซึ่งตั้งอยู่ที่ หมู่ 5 ตำบลแสนตออำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร ตีราคา 30,000 บาทโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า บิดาและมารดาของผู้ร้องยกบ้านพิพาทที่โจทก์นำยึดให้แก่ผู้ร้องก่อนที่ผู้ร้องจะอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย บ้านพิพาทจึงเป็นของผู้ร้อง มิใช่ของจำเลยขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้อง

โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ เพราะบ้านพิพาทที่โจทก์นำยึดมิใช่เป็นบ้านของผู้ร้องแต่เป็นบ้านของจำเลยเพียงผู้เดียวซึ่งจำเลยได้รับความยินยอมจากบิดาและมารดาของผู้ร้องให้ปลูกสร้างขึ้น ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยอธิบดีผู้พิพากษาภาค 6 อนุญาตให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้อง

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องกับจำเลยอยู่กินกันฉันสามีภริยามาประมาณ 32 ปีแล้ว เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2519 จึงจดทะเบียนสมรสกัน ต่อมาจำเลยกับผู้ร้องได้จดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2532จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าบ้านในทะเบียนบ้านพิพาทตามเอกสารหมาย จ.3มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่ ผู้ร้องมีตัวผู้ร้องนายบุญเลิศ จูเปรมปรี บุตรผู้ร้อง นางแจ พรมอ่อน พี่ผู้ร้องมาเบิกความโดยผู้ร้องเบิกความว่า บ้านพิพาทเดิมเป็นของมารดาผู้ร้อง ต่อมามารดาผู้ร้องยกให้แก่ผู้ร้องเมื่อประมาณ40 ปีมาแล้ว พร้อมทั้งที่ดินที่ใช้ปลูกบ้านพิพาท ผู้ร้องได้ขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวและทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินให้กับผู้ร้องแล้วเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2515 ตามสำเนาใบไต่สวนเอกสารหมาย ร.1 และใบแทนโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร.2นายบุญเลิศเบิกความว่า บ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องได้รับมรดกมาจากมารดา นางแจเบิกความว่า มารดายกบ้านและที่ดินให้แก่ผู้ร้องฝ่ายโจทก์มีตัวโจทก์เพียงผู้เดียวที่เบิกความว่าทราบว่าเมื่อจำเลยแต่งงานอยู่กินกับผู้ร้องก็ได้รับอนุญาตจากบิดาและมารดาผู้ร้องให้สร้างบ้านอยู่ในที่ดินของบิดาและมารดาผู้ร้อง นอกจากนี้นายจง เหมือนแสง พยานโจทก์ยังเบิกความตอบคำถามค้านของทนายผู้ร้องสอดคล้องกับพยานผู้ร้องว่า บ้านหลังเก่าแต่เดิมเป็นของบิดาและมารดาผู้ร้องน่าเชื่อว่าบ้านพิพาทหลังเดิมเป็นของบิดาและมารดาผู้ร้องต่อมาได้ยกให้แก่ผู้ร้องพร้อมทั้งที่ดิน ตามสำเนาใบไต่สวนเอกสารหมาย ร.1 และใบแทนโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร.2 ก่อนที่ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับจำเลย ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าจำเลยรื้อบ้านหลังเดิมออกและปลูกสร้างบ้านขึ้นใหม่ด้วยเงินของจำเลยตามที่โจทก์อ้างหรือว่าเพียงแต่ต่อเติมเท่านั้นตามที่ผู้ร้องอ้าง ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์มิได้ระบุว่าจำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าก่อสร้าง ตัวจำเลยเองเป็นหนี้โจทก์เพียงสามหมื่นบาทเศษ ยังไม่มีเงินชำระหนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยรื้อบ้านเก่าและปลูกสร้างบ้านใหม่ทั้งหมด จึงเชื่อว่ามีการต่อเติมบ้านตามที่ผู้ร้องนำสืบและบ้านที่ต่อเติมใหม่นี้มีลักษณะถาวรติดที่ดิน จึงต้องถือว่าบ้านพิพาทที่ต่อเติมนี้เป็นส่วนควบของที่ดินที่ปลูกบ้าน และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 เดิม(มาตรา 144 ใหม่) โจทก์จึงยึดบ้านพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ไม่ได้

พิพากษายืน

  • สรุป
  • บ้านพิพาทหลังเดิมเป็นของบิดาและมารดาผู้ร้อง ต่อมาได้ยกให้แก่ผู้ร้องพร้อมทั้งที่ดินก่อนที่ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับจำเลย ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง หลังจากนั้นมีการต่อเติมบ้านในลักษณะถาวรติดที่ดิน จึงต้องถือว่าบ้านพิพาทที่ต่อเติมนี้เป็นส่วนควบของที่ดินที่ปลูกบ้านและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 เดิม โจทก์จึงยึดบ้านพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ไม่ได้
สำนักงานกฎหมายปรัชญาเศรษฐ์ทนายความ Copyright © 2021. All rights reserved.