นำสืบพยานไม่ถึงขนาดที่ว่าหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงอย่างไร ศาลพิพากษายกฟ้องได้หรือไม่

นำสืบพยานไม่ถึงขนาดที่ว่าหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงอย่างไร ศาลพิพากษายกฟ้องได้หรือไม่

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 29749 คืนให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 29749 คืนให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นบุตรโจทก์กับนายเหงี่ยง เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 29749 เนื้อที่ประมาณ 1 งาน 71 เศษ 6 ส่วน 10 ตารางวา เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2541 โจทก์จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย สำหรับเหตุถอนคืนการให้ที่โจทก์บรรยายในฟ้องทำนองว่าจำเลยบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ โดยอ้างว่า จำเลยขายที่ดินที่โจทก์และนางสุวินันท์หรือสนั่น อยู่อาศัยแก่บุคคลอื่น ทั้งที่ทราบว่าโจทก์ไม่มีที่อยู่อาศัยอื่นนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่ได้วินิจฉัย และโจทก์ไม่ได้ยกขึ้นฎีกา จึงถือว่ายุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 โดยไม่จำต้องวินิจฉัย

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า มีเหตุเรียกถอนคืนการให้เพราะจำเลยซึ่งเป็นผู้รับหมิ่นประมาทโจทก์ผู้ให้อย่างร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อความอันเป็นเหตุแห่งการประพฤติเนรคุณว่าจำเลยกล่าวหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวจริงตามฟ้อง ซึ่งโจทก์บรรยายมาในคำฟ้องว่า จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงและบอกปัดไม่ให้ความช่วยเหลือโจทก์ในขณะที่จำเลยสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือได้ โดยจำเลยกล่าวว่า “แล้วแต่พวกมึงจะไปอยู่ที่ไหนอีแก่ มึงเป็นคนไม่ยุติธรรม” และอีกข้อความหนึ่งว่า “แล้วแต่พวกมึงจะพากันไปตายที่ไหน กูไม่สนใจ มึงตายกูก็จะไม่ไปเผามึง” แต่ทางพิจารณากลับมีตัวโจทก์เบิกความเพียงว่า จำเลยด่าโจทก์ว่า “รักลูกไม่เท่ากัน แม่หมา ๆ รักลูกไม่เท่ากัน” เพียงเท่านั้น โดยมิได้มีถ้อยคำดังที่ปรากฏตามคำฟ้องแต่อย่างใด นอกจากนั้น พยานโจทก์ปากนางสุวินันท์หรือสนั่น บุตรสาวโจทก์เบิกความว่า ได้ยินจำเลยด่าโจทก์ว่ารักลูกไม่เท่ากัน ด่าว่าเหมือนหมู เหมือนหมา และแม่ไม่มีความยุติธรรม ด่าโจทก์อีกหลายคำ กับนายบุญสาร บุตรเขยโจทก์ เบิกความว่า จำเลยด่าโจทก์ทำนองว่ารักลูกไม่เท่ากัน มรดกทุกอย่างยกให้แก่นางสุวินันท์เพียงคนเดียว ไม่ให้ลูกคนอื่น ลำเอียง แม่หมา ๆ เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยด่าโจทก์ว่า อีแก่ หรือมึงตายกูก็ไม่ไปเผามึง แม้นางสุวินันท์จะเบิกความว่า จำเลยด่าโจทก์ว่าไม่มีความยุติธรรมซึ่งตรงตามที่โจทก์ระบุในคำฟ้องแต่ก็เป็นเพียงการกล่าวด้วยความน้อยใจว่าโจทก์รักบุตรแต่ละคนไม่เท่ากัน หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นชอบด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนไป

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

สำนักงานกฎหมายปรัชญาเศรษฐ์ทนายความ Copyright © 2021. All rights reserved.