ใส่ความโดยไม่รู้ตัวผู้ถูกหมิ่นประมาท ฟ้องคดีได้หรือไม่

ใส่ความโดยไม่รู้ตัวผู้ถูกหมิ่นประมาท ฟ้องคดีได้หรือไม่

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 326, 328, 332 และให้จำเลยลงพิมพ์โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจังหวัดกาญจนบุรีมีกำหนด 7 ครั้ง โดยให้จำเลยชำระค่าโฆษณ

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่โดยให้มีผู้พิพากษาครบองค์คณะ

ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง โดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจสำนวนแล้วลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องพอมีมูลว่า โจทก์เคยรับราชการทหาร โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินของนางบงกช ประกอบกิจการร้านอาหารแพโฟลทติ้งซึ่งอยู่ติดกับสะพานข้ามแม่น้ำแคว และมีข้อพิพาทกันเกี่ยวกับสัญญาเช่าโดยโจทก์ฟ้องนางบงกชว่าผิดสัญญาเช่า คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ส่วนนางบงกชฟ้องขับไล่โจทก์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยตั้งกลุ่มในแอปพลิเคชันไลน์ ชื่อ โพสท์นิวส์ออนไลน์ โดยจำเลยใช้ชื่อว่า เจน/ข่าว/โพสท์นิวส์ และเชิญบุคคลต่าง ๆ เข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มโดยสมาชิกดังกล่าวสามารถสนทนาและอ่านข้อความที่สนทนากันภายในกลุ่มได้ เมื่อระหว่างวันที่ 7 พฤษภาคม 2559 ถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2559 จำเลยส่งข้อความเข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มดังกล่าว โดยวันที่ 7 พฤษภาคม 2559 จำเลยส่งข้อความว่า “นับถอยหลังอีกไม่กี่วัน กระบวนการยุติธรรมของศาลอุทธรณ์… จะตัดสินคืนความถูกต้องชอบธรรมให้กับนางบงกช (เจ้าของที่ดินที่ให้เช่าทำแพอาหารโฟลทติ้งติดกับสะพานแม่น้ำแคว) หมดสัญญาเช่า แต่ไม่ย้ายออกแถมยื่นฟ้องต่อศาลว่าที่ดินมรดกของนางบงกชได้มาไม่ถูกต้อง..ทั้งที่ที่ดินจังหวัดตรวจสอบและรับรองสิทธิ์ถูกต้องแล้ว.. จนทำให้นางบงกชต้องฟ้องขับไล่ โดยศาลชั้นต้นตัดสินให้ผู้เช่าที่หมดสัญญาย้ายออก.. แต่กลับหน้าด้านยื่นอุทธรณ์สมเป็นชายชาติทหารจริง ๆ.. อีกไม่กี่วันก็รู้ผลแล้ว..เตรียมตัวเอาปี๊บคลุมหัวกันได้เลย..ชาวบ้านเรียกว่าเนรคุณ.. คนทั่วไปเรียกคนแบบนี้ว่าอะไรไปคิดกันเอง.. อุ๊ป!!! อย่าลืมอ่านแบบเต็ม ๆ รวมถึงกรมเจ้าท่าและวัฒนธรรม .157 ใน นสพ. โพสท์นิวส์ ฉบับเดือน พ.ค. นี้ แน่นอน..” วันที่ 18 พฤษภาคม 2559 จำเลยส่งข้อความเข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มดังกล่าวหลายครั้งติดต่อกัน ครั้งที่ 1 เวลา 10.09 นาฬิกา จำเลยส่งข้อความว่า “อีกหนึ่งวันที่กระบวนการยุติธรรมจะคืนความชอบธรรมให้กับประชาชนตาดำ ๆ ที่ถูกนายทุนหน้าด้านหน้าหนาหมดสัญญาเช่าที่ดินไม่ยอมย้ายออก. น่าอับอายจริง ๆ อ้างมั่ว ๆ ขอเช่าสิทธิริมตลิ่งกับกรมเจ้าท่า..รู้ไม่จริงหรือแกล้งโง่.. สิทธิริมตลิ่งเป็นของเจ้าของที่ดินริมแม่น้ำ..ยังดื้อดันยืดเวลาออกไปหวังค้าขายกอบโกยแล้วหนี โหววนี่หรือคน..” ครั้งที่ 2 เวลา 10.11 นาฬิกา จำเลยส่งข้อความว่า “เพิ่งลงมาจากศาลได้ความนัดตรวจสอบที่ดิน.. เรื่องนี้ไม่ตรวจสอบอะไรเพราะที่ดินจังหวัดได้มาตรวจสอบและแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว” ครั้งที่ 3 เวลา 10.13 นาฬิกา จำเลยส่งข้อความว่า “แต่จำเลยได้ยื้อเวลาให้นานที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ในการใช้พื้นที่เช่าที่หมดสัญญาเช่าแล้ว..” ครั้งที่ 4 เวลา 10.13 นาฬิกา จำเลยส่งข้อความว่า “ก็ไม่เป็นไรมีความสุขบนความทุกข์ของคนที่มีบุญคุณให้เช่าที่ดินทำมาหากินจนมั่งมีแต่ทำตัวดี้ดี..เวรกรรมสมัยนี้เร็วยิ่งกว่าจรวดซะอีก 55” วันที่ 22 มิถุนายน 2559 จำเลยส่งข้อความเข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มดังกล่าวว่า “อดีตนายทหารเต๊ะจุ้ย..มาดเหลือรับทาน..ไร้สำนึก ไร้วุฒิอุปโลกน์ ไล่ไม่ไปไหนยังมีอยู่ไหมที่ไหนกันบ้าง..? แจ้งเข้ามาจะส่งเสริมให้สังคมรู้..หรือว่าเค้ารู้กันทั้งเมืองแล้ว..555” และวันที่ 23 มิถุนายน 2559 จำเลยส่งข้อความเข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มดังกล่าวว่า “กรณีฟ้องร้องขับไล่..โจทก์ได้ฟ้องแพ่งไปพร้อม ๆ กัน..ด้านอยู่ก็สู้กัน..พอถึงจุดนั้นก็อ้างล้มละลาย.. โถว ๆ โจทก์เค้าบันทึกข้อมูลทุกอย่างของจำเลยไว้หมดว่าที่อ้างล้มละลายน่ะอุปโลกน์..รถหรู สินทรัพย์ถึงจะเป็นชื่อลูกชื่อเมียก็ไม่รอดนะคร๊าบบ..ฟ้องแพ่งวันละแสน..นี่ก็จะแปดเดือนแล้ว.. บวกคูณเอาว่าเท่าไหร่ 55+”

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องใหม่ และมีคำพิพากษามานั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะพิจารณา และต่อมาได้มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท จึงเกินอำนาจผู้พิพากษาคนเดียวที่จะพิพากษายกฟ้องได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5) และมาตรา 26 แต่ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (3) ดังนั้นการไต่สวนมูลฟ้องโดยผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคนเดียวในศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ จึงเป็นเพียงการย้อนสำนวนมาให้ดำเนินกระบวนพิจารณาและทำคำพิพากษาใหม่ในส่วนที่ไม่ชอบตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 31 (1) ประกอบมาตรา 29 (3) เท่านั้น ศาลชั้นต้นหาจำต้องไต่สวนมูลฟ้องใหม่อีกแต่อย่างใดไม่ และเมื่อทนายโจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า โจทก์หมดพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องตามรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 14 ธันวาคม 2559 การไต่สวนมูลฟ้องย่อมเสร็จสิ้นลงโดยชอบแล้ว โจทก์จึงไม่อาจนำพยานเข้าไต่สวนเพิ่มเติมได้อีก ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์นำพยานเข้าไต่สวนเพิ่มเติมและศาลอุทธรณ์ภาค 7 เห็นพ้องด้วยมานั้น ชอบแล้ว ส่วนคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนกับผู้พิพากษาหัวหน้าศาลลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะ เป็นกรณีมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 31 (1) ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลย่อมมีอำนาจตรวจสำนวนคดีและลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 29 (3) การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจสำนวนคดีและลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะจึงเป็นการพิจารณาและพิพากษาใหม่โดยมีผู้พิพากษาครบองค์คณะโดยชอบตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า คดีโจทก์มีมูลความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 328 นั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความดังกล่าวได้ระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความเป็นการยืนยันรู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรง การใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อพิจารณาข้อความตามภาพถ่ายแล้ว แม้ไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าเป็นโจทก์ แต่ก็ได้ความจากคำเบิกความของนายโสรวาร ผู้รับมอบอำนาจโจทก์และนางสาวภัทราภรณ์ ญาติของโจทก์ว่าโจทก์เป็นอดีตทหารและเช่าที่ดินจากนางบงกชซึ่งอยู่ติดสะพานข้ามแม่น้ำแคว เพื่อประกอบกิจการร้านอาหารชื่อ “แพโฟลทติ้ง” ซึ่งมีเพียงร้านเดียวในจังหวัดกาญจนบุรี และยังมีข้อพิพาทฟ้องร้องดำเนินคดีกับนางบงกชด้วย เมื่อนายโสรวารอยู่ในกลุ่มไลน์เดียวกับจำเลยและนางสาวภัทราภรณ์ได้อ่านข้อความ ก็เข้าใจทันทีว่า บุคคลที่จำเลยกล่าวถึงนั้น หมายถึงโจทก์ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาภาพถ่ายข้อความแล้ว ปรากฏว่า วันที่ 22 มิถุนายน 2559 เวลา 21.52 นาฬิกา มีสมาชิกในกลุ่มไลน์ซึ่งใช้ชื่อว่า KAN BURI ได้ลงข้อความต่อจากจำเลยว่า “รอคดีแพ่งครับ มีอ้วก” จากนั้นวันที่ 23 มิถุนายน 2559 เวลา 11.14 นาฬิกา จำเลยจึงลงข้อความได้ความว่า ในคดีแพ่ง ฟ้องขับไล่ มีการเรียกค่าเสียหายวันละแสนเป็นเวลาใกล้ครบ 8 เดือนแล้ว ข้อความของสมาชิกในกลุ่มไลน์ที่ใช้ชื่อว่า KAN BURI ดังกล่าวจึงสอดรับกับข้อความที่จำเลยลงในวันถัดไป เป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่อ่านข้อความเข้าใจได้ว่าบุคคลที่จำเลยกล่าวถึงคือโจทก์ เมื่อข้อความดังกล่าวอาจทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง คดีโจทก์จึงมีมูลเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 แต่สำหรับความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 นั้น ผู้กระทำต้องเผยแพร่ข้อความอันเป็นการหมิ่นประมาทออกไปยังสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป การที่จำเลยส่งข้อความลงในแอปพลิเคชันไลน์ กลุ่มโพสท์นิวส์ออนไลน์ มีลักษณะเป็นเพียงเจตนาการแจ้งหรือไขข่าวไปยังเฉพาะกลุ่มบุคคลซึ่งอยู่ในกลุ่มไลน์ดังกล่าวเท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นการกระจายข่าวไปสู่สาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป คดีโจทก์จึงไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษาแก้ ให้ประทับฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ไว้พิจารณาต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

สำนักงานกฎหมายปรัชญาเศรษฐ์ทนายความ Copyright © 2021. All rights reserved.